กลิ่น เป็นประสาทสัมผัสที่สำคัญ ที่ช่วยให้มนุษย์เป็นมนุษย์มาได้จนถึงทุกวันนี้ มนุษย์ใช้การจำแนกกลิ่น เพื่อดูว่าเห็ดต้นนี้กินได้ หรือกินไม่ได้ รวมถึงเนื้อสัตว์ที่ล่ามานี้ เน่าเสียหรือยัง หรือว่ายังกินได้ เพราะประสาทในการรับกลิ่นเชื่อมโยงกับสมองส่วนความทรงจำและการเรียนรู้ แต่ไม่ใช่แค่สิ่งที่เห็นได้ชัด อย่างอาหารเพียงอย่างเดียว กลิ่น ยังสามารถดึงความทรงจำและสร้างจินตนาการได้อีกด้วย
มนุษย์รับรู้กลิ่นได้จากประสาทสัมผัสรับกลิ่น (Olfactory Nerves) ที่อยู่เหนือโพรงจมูก (Nasal Cavity) เมื่อกลิ่นต่างๆ จากโมเลกุลของสิ่งนั้นๆ ผ่านกระเปาะรับกลิ่น (Olfactory Bulbs) ที่ต่อกับลิมบิค ซีสเต็ม (Limbic System) ซึ่งเป็นสมองส่วนควบคุมอารมณ์และความทรงจำ ว่ากันว่ามนุษย์หนึ่งคน สามารถจำแนกกลิ่นได้กว่า 10,000 ชนิดอีกด้วย

คุณเคยได้กลิ่นของความฉลาดมั้ยครับ … ในจินตนาการของคุณความฉลาดมีกลิ่นแบบไหน ?
“กลิ่น” ของความฉลาดของแต่ละคน ก็ย่อมแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับภาพ “ความฉลาด” ในหัวของคนๆ นั้นมีหน้าตาอย่างไร และมีกลิ่นแบบไหนในฉากนั้น
กลิ่นความฉลาดของบางคน อาจเป็นกลิ่นของกระดาษหนังสือในห้องสมุด อาจเป็นกลิ่นหอมๆของกาแฟ ในร้านการแฟที่มีจัดงานเสวนา หรืออาจจะเป็นกลิ่นน้ำหอมของแฟนเก่าก็เป็นไปได้ ไม่ว่ากลิ่นนั้นจะเป็นอย่างไร มันจะต้องไปเชื่อมโยงกับประสบการณ์ความฉลาดในดวงใจของเจ้าตัวอย่างแน่นอน เพราะคนเราจะตีความกลิ่นต่างๆ เชื่อมโยงกับความทรงจำของตัวเองเสมอ

อย่างที่กล่าวไป กลิ่นต่างๆ จะไปกระตุ้นสมองส่วน Limbic System ซึ่งเป็นสมองที่ดูแลเรื่องความทรงจำระยะยาว ดังนั้น ถ้าเราเจอกลิ่นที่เชื่อมโยงกับสิ่งที่น่ากลัว หรือเป็นภัย สมองของเราจะมีปฏิกริยาทันที เช่น เวลาคนก่อนโดนผีหลอก ก็มักจะได้กลิ่นธูป กลิ่นและเหม็นสาป ทั้งสองกลิ่นนี้เป็นกลิ่นที่พบได้ในงานศพ หรือถ้าเราอยากทำให้ตัวเองรู้สึกสดชื่น ก็มักจะใช้กลิ่นหอมอ่อนๆ จากดอกไม้ มากระตุ้นอารมณ์ หรืออยากจะให้สมาธินั่งทำงานได้นานๆ เราก็มักนึกถึงกลิ่นกาแฟคั่วบด เป็นต้น
แต่ละคนก็คงมีประสบการณ์รับกลิ่นแตกต่างกัน แต่ที่ก็มีบางกลิ่นที่คนทั่วโลกรู้สึกร่วมกันได้ เช่น:
1. กลิ่นกายของคนรัก
มนุษย์เป็นเหมือนกับสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆ ตรงที่คนเราดึงดูดเข้าหากันด้วยกลิ่น นโปเลียน โบนาปาร์ต เคยสั่งให้แม่นางโจเซฟีน หญิงคนรักของเขาไม่ให้อาบน้ำเป็นเวลาสามวัน เพราะเขาไม่อยากให้กลิ่นของโจเซฟีนที่เขาชอบหายไป นอกจากนี้ การจูบกัน ยังเป็นการแสดงความรักที่วิวัฒนาการมาจากการดมกลิ่นของคนรักอีกด้วย
2. กลิ่นไม้หอมมีไว้เพื่อผ่อนคลาย
นี่คือความรู้ที่ตกทอดกันมาตั้งแต่สมัยอียิปต์โบราณ ชาวอียิปต์สกัดกลิ่นหอมจากพืช นำมาทำเป็นน้ำมันผสมในอ่างอาบน้ำ หรือทำเป็นน้ำมันนวดตัว ความหอมของพืชทำให้จิตใจผ่อนคลายและร่างกายสดชื่นขึ้นมาได้
3. หอมดินเคล้ากลิ่นไอฝน
ลองนึกถึงช่วงเวลาที่เราในบ้านที่ตั้งอยู่ท่ามกลางแมกไม้นานา เวลานั้นฝนตกปรอยๆ และเม็ดฝนนำกลิ่นหอมอ่อนๆ ลอยขึ้นมาจากดิน ความหอมนี้ทำให้เรารู้สึกสดชื่นและผ่อนคลายดูสิครับ ความหอมของดินนั้นเกิดจากเชื้อแบคทีเรียสกุล สเตรปโตไมคีส (Streptomyces) แบคทีเรียนี้มีอยู่ในดินอยู่แล้ว การที่ฝนเทตัวลงมา ทำให้สปอร์ของแบคทีเรียนั้นกระจายออกสู่อากาศ นอกจากนี้น้ำฝนยังช่วยเร่งปฏิกริยาการเติบโตของพืช พืชจะเริ่มแตกหน่อยามเมื่อฝนตก นั่นทำให้พืชส่งกลิ่นหอมสดชื่นออกมาอีกด้วย

กลิ่นที่ได้จากธรรมชาติ ส่งผลต่อร่างกายและจิตใจคนรับกลิ่น ทำให้เกิดการสร้างน้ำหอมและน้ำปรุงมาตั้งแต่ 5,000 กว่าปีก่อน พัฒนามาเป็นศาสตร์แห่งการปรุงน้ำหอมจากกลิ่นที่สกัดจากธรรมชาติ เฉกเช่นเรา “สยาม 1928” จากความรู้ในครอบครัวที่ทำน้ำหอมน้ำปรุงให้กับในวัง ผ่านไปสามชั่วอายุคน องค์ความรู้เรื่องการ “อบร่ำ” ให้น้ำมีกลิ่นหอมสดชื่น ได้ถูกพัฒนาให้ก้าวเดินไปกับโลกสมัยใหม่ได้อยากมั่นคง
เพราะน้ำหอม ไม่ใช่มีไว้เพื่อระงับกลิ่นกลายที่ไม่พึงประสงค์ การเลือกกลิ่น คือการแสดงออกทางตัวตนที่สะท้อนบุคลิกภาพของตัวเองอีกด้วย วัตถุดิบที่นำมาใช้ในน้ำหอมแต่ละชนิดมีแคแรกเตอร์ของตัวเอง และนั่นทำให้น้ำหอมแต่ละรุ่นที่ผลิตออกมามีเอกลักษณ์ความหอมเฉพาะตัว

อย่างน้ำหอม คอเลคชั่นคู่ของ สยาม 1928 “จันนาลัจ” และ “รัสวิกา” ที่นำเสนอกลิ่นที่ชวนฝัน ให้นึกถึงภาพท้องฟ้ายามค่ำคืน แต่น้ำหอมทั้งสองตัวนำเสนอภาพที่ต่างกัน “จันนาลัจ” นำเสนอภาพคืนเดือนเพ็ญ ที่มีแสงจันทร์เปล่งประกายสาดแสงสวยงามและอ่อนโยน มีดอกบัวขาวอยู่บนผิวน้ำสระอโนดาต ส่วน “รัสวิกา” จะเป็นคืนเดือนมืด ที่เห็นแสดงดาวระยิบระยับจับตา มีกินรีลงเล่นน้ำในสระอโนดาตใต้แสงดาว

จันนาลัจ โดดเด่นด้วยกลิ่นหอมแบบน้ำอบไทย ที่รวมความสดชื่นจากพิมเสนสีชมพู ให้กลิ่นที่หอมหวานนวลอ่อน เป็นความหวานที่นุ่มนวล งดงามแบบไทย ขณะที่รัสวิกา จะเป็นความสดชื่นที่ตัดกับความเผ็ดร้อนเย้ายวนด้วยกลิ่น Floral Spice จากพริกไทชมพูและเหง้าไอริสเผ็ดแห้ง น้ำหอมทั้งสองตัวประยุกต์กลิ่นของความเป็นไทย ให้เชื่อมโยงกับโลกสมัยใหม่ ให้ผู้ใช้น้ำหอมนั้น เฉิดฉาย แต่ไม่ฉูดฉาด เรียกร้องความสนใจจนเกินงาม
น้ำหอมของสยาม 1928 ใช่เป็นเพียงเครื่องประทินผิว หรือการสร้างเรื่องราวและความทรงจำผ่าน “กลิ่น” เท่านั้น แต่ยังมาพร้อมกับความใส่ใจ ในการเลือกวัตถุดิบ เพื่อขับเน้นความพิถีพิถันในการเลือกเครื่องหอมของไทย ที่เป็นมรดกทางภูมิปัญญา ที่สืบทอดกันมากว่า 90 ปี
เราคือ สยาม 1928
“น้ำหอมสยาม” ที่ยังคงเอกลักษณ์ความเป็นไทย
และเฉิดฉายกับความเป็นสากล