ไม่บอกก็คงรู้กันดีอยู่แล้วว่า 4 หนุ่มจากเมืองลิเวอร์พูลในชื่อ The Beatles สร้างอิทธิพลให้กับวงการศิลปะโลกขนาดไหน ทั้งทรงผมแบบกะลาครอบ (ในยุคแรก) และความฮิปปี้ (ในยุคหลัง) รวมถึงดนตรีแนวไซคีเดลิคร็อคอีกด้วย รวมถึงภาพการเดินข้ามถนน Abbey Road ที่เป็นเทรนด์ให้คนเลียนแบบถึงทุกวันนี้
อีกสิ่งหนึ่งที่โดดเด่นเป็นสง่าของวงก็คือโลโก้ ที่เป็น wordmark เรียบง่าย แต่ทรงพลังด้วยฟอนต์ที่โดดเด่นสะดุดตา มีกิมมิคที่หางของตัว T ที่ลากยาวลงมาข้างล่าง ที่เค้าเรียกกันว่า Drop-T Logo

แต่เชื่อหรือไม่ว่าโลโก้นี้ไม่ได้ออกแบบโดยมืออาชีพ คนที่วามันขึ้นมาคือ Ivor Arbiter เจ้าของร้านขายกลองชุดที่ลอนดอน เขาไม่ได้มีประสบการณ์ออกแบบกราฟฟิค และไม่ได้ถูกจ้างมาให้ทำโลโก้ตั้งแต่แรกด้วยซ้ำ
เรื่องมันมีอยู่ว่า ในปี 1963 ช่วงที่วงเพิ่งได้ Ringo Starr มือกลองคนใหม่ และ้เตรียมตัวจะเดบิวต์ Brian Epstein ผู้จัดการวงก็พามือกลองมาดูกลองชุดที่จะใช้เล่นคอนเสิร์ตในร้านของ Ivor ที่ชื่อว่า Drum City

Ringo ถูกใจกลองชุดยี่ห้อ Ludwig ในราคา 238 ปอนด์ แต่ตอนนั้นวงยังไม่ได้ออกอัลบั้ม ก็เลยไม่มีเงินซื้อของแพงขนาดนั้น ผู้จัดการวงก็เลยขอส่วนลดด้วยการยกกลองชุดอันเก่าของ Ringo มาให้ทางร้านเอาไปขายต่อ เจ้าของร้านก็เลยต่อรองว่าถ้าอย่างนั้นก็ขอให้ติดโลโก้ของ Ludwig ไปที่กลองด้วยเพื่อให้วงช่วยโปรโมทสินค้า
Brian Epstein ก็เลยต่อรองกลับไปว่าขอให้มีโลโก้ของวงติดอยู่ที่กลองคู่กับยี่ห้อกลองด้วย Ivor ก็เลยหยิบกระดาษกับปากกาขึ้นมาวาดโลโก้ของ The Beatles สดๆ ในร้าน และให้ช่างสีมาเพนท์ที่กลอง แลกกับเงิน 5 ปอนด์จากผู้จัดการวง

แนวคิดในการออกแบบของ Ivor ก็เรียบง่าย ทำตัว B กับ T ให้มันเด่น ขับเน้นคำว่า Beat ที่แปลว่าจังหวะดนตรีให้มันชัดขึ้น เสริมภาพลักษณ์ความเป็นวงดนตรีของ The Beatles
หลังจากนั้นไม่นาน Please Please Me อัลบั้มเปิดตัวก็ฮิตถล่มทลาย และโลโก้ราคา 5 ปอนด์บนกลองของ Ringo Starr ได้กลายเป็นโลโก้ของวงอย่างเป็นทางการ

ส่วน Ivor Arbiter ก็ทำธุรกิจจัดจำหน่ายเครื่องดนตรีไปตลอดชีวิต เขาได้รางวัล Lifetime Achievement award จากสมาคมอุตสหกรรมดนตรีของอังกฤษ ( Music Industries Association) ในปี 2001 ก่อนที่จะเสียชีวิตในปี 2005
ดูชีวิตคุณ Ivor แล้ว ทำให้เราตระหนักได้ว่าสิ่งสำคัญที่สุดของการออกแบบคือ “ลงมือทำ” ขนาดดีไซเนอร์จำเป็นที่วาดโลโก้เพราะสถานการณ์บังคับ ก็สามารถสร้างผลงานที่เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก มามากว่า 50 ปีได้เลยนี่นา
ที่มาของข้อมูล