สิ่งที่เรา “กลัว” มากที่สุด ในความสัมพันธ์กับมนุษย์ทุกรุปแบบคือ “ความเด๋อ” หรือสำคัญตัวเองผิด (ภาษาอังกฤษน่าจะเรียกว่า delusion) สำหรับเรามันเจ็บปวดกว่าการทะเลาะกัน เลิกคบกัน โดนปฏิเสธ หรือ โดนหักหลัง หลายร้อยเท่า
อย่างในที่ทำงาน เราเคยอยู่ในองค์กรที่มีเพื่อนร่วมงานเกลียดเจ้านายตนเองมาก นินทาเจ้านายลับหลังแรงๆ ให้ฟังเสมอ แต่เพื่อนร่วมงานเราเป็นคนตีสองหน้าเก่ง พออยู่ต่อหน้าเจ้านายก็จะประจบประแจง พูดจาดีๆ ทำตัวดีๆ จนกลายเป็นลูกรักของเจ้านาย แน่นอนมันบอกว่า เรื่องนี้ทำเพื่อเงินล้วนๆ
เราผู้ที่รู้ความจริงทั้งสองด้าน เวลาเห็นเจ้านายชื่นชมทีมงานตัวเองที่ตีสองหน้า ด้วยความบริสุทธิ์ใจว่า พนักงานคนนั้นรักและภักดีต่อองค์กรเสียเหลือเกิน เรารู้สึกเจ็บแปลบอย่างบอกไม่ถูก
หรือแค่ดูคลิปออดิชั่นการประกวดร้องเพลง ที่คนร้องเพี้ยนสุดๆ แต่มาพร้อมความมั่นใจล้นปรี่ มาร้องเพลงต่อหน้ากรรมการ แล้วโดนความจริงบดขยี้ เราเห็นอะไรแบบนี้แล้วเฮิร์ทมากกว่าทำไมเขาถึงไม่สามารถตระหนักได้ด้วยตัวเอง ว่าเขาร้องเพลงแย่มาก่อนหน้านี้

เราเห็นและพบพานกับเรื่องเด๋อๆ แบบนี้ตั้งแต่เด็ก นั่นทำให้เรากลัว “ความสัมพันธ์”
น้อยครั้งมาก ที่เราจะคุยกับคนอื่นก่อน แม้แต่กับเพื่อนก็ตาม เพราะไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายจะรำคาญเราไหม เว้นแต่เรื่องนั้นจะเป็นเรื่องงาน ที่มันต้องคุยตามวาระอยู่แล้ว
เช่นเดียวกัน เราจะไม่เอ่ยปากชวนใครไปแฮงค์เอาท์กับเราก่อน ถ้าเราไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายรู้สึกสนิทกับเราเท่าที่เรารู้สึกสนิทกับอีกฝ่ายหรือไม่ เราเลยกลายเป็นคนโลกส่วนตัวสูง เข้าถึงได้ยาก เราเลยมักใช้ “การทำงานด้วยกัน” เป็นการผูกสัมพันธ์ เพราะมันต้องเจอกันแน่ๆ โดยไม่เกี่ยงความสนิท
มันกลับกันตรงที่ เวลาอยู่ในออฟฟิศ เราหลีกเลี่ยงการคุยเรื่องส่วนตัวกับเพื่อนร่วมงาน และแอนตี้การตีสองหน้ากับเจ้านายหรือคนอื่น ถ้าเราไม่พอใจในเรื่องงาน เราจะแสดงออกทันที และถ้าเราไม่โอเคกับหัวหน้าหรือทีมงาน เราก็จะลาออกเลย เราไม่อยากแสร้งทำเป็นดี ให้ใครมาเด๋อกับเรา

ในเรื่องความสัมพันธ์ ถ้ามีใครเข้ามาคุยกับเรา และเรารู้สึกว่าไม่ตรงจริต หรือมีเซนส์ว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะคบกันแบบแฟน เราจะดับความหวัง และบอกว่าตรงๆ เลยว่า “มันเป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นมากกว่าเพื่อนนะ” มันอาจจะดูใจร้ายและด่วนตัดสิน แต่อย่างน้อยอีกฝ่ายจะไม่เด๋อ
แต่นั่นก็เป็นปัญหา เมื่อเวลาเราเป็นฝ่ายไปตกหลุมรักใครสักคนก่อน เราจะทำตัวไม่ถูก เพราะเรามักจะกังวลว่าอีกฝ่ายจะคิดกับเรายังไง มันไม่ใช่การกลัวถูกปฏิเสธเสียทีเดียว มันเป็นความคลางแคลงใจว่าถ้าทำแบบนี้ เขาจะรำคาญไหม มันจะเพิ่มแต้มบวก หรือแต้มลบในสายตาอีกฝ่าย
แต่ถ้าไปถามซ้ำๆว่าคิดยังไงกับเราด้วยความไม่มั่นใจในตัวเอง ก็ยิ่งไปทำให้อีกฝ่ายรำคาญ พอไม่ถามก็เอาแต่นั่งคิดมาก ยิ่งสเปคที่เราชอบมักเป็นคนแบบ avoidant ที่ต้องการพื้นที่ส่วนตัว ซึ่งเราเองก็โลกส่วนตัวสูงเช่นกัน แต่พอมีความรักปุ๊บ ทุกอย่างกลับตาลปัตรทันที มีแต่ความกลัวในใจ
เรารู้นะว่าการกลัวความเด๋อ ไม่ส่งผลดีต่อความสัมพันธ์ เพราะมันให้ทำให้เราไม่เป็นตัวเอง ถึงอย่างนั้น การเป็นตัวของตัวเองโดยไม่กลัวเด๋อ มันก็ไม่รับประกันว่าจะได้ความสัมพันธ์ที่ดีแต่อย่างใด หวังว่าจะเราหาวิธี “เป็นเพื่อน” กับความกลัวนี้ให้ได้ในสักวัน