ฉันจบอักษรจุฬา แต่…

Posted by

ความสัมพันธ์เรากับคณะอักษร จุฬา ไม่ค่อยสู้ดีนัก ตั้งแต่วันแรกที่สอบติด เพราะใจจริงเราไม่ได้อยากเข้าที่นั่น เราอยากเข้าสถาปัตย์ ที่ม.ลาดกระบัง เพื่อไปเรียนภาพยนตร์กับเพื่อนหญิงม.ปลาย ที่เป็นรักแรกของเรามากกว่า แต่เราไม่มีปัญญาวาดรูป และดันเก่งเรื่องวิชาการ ประกอบกับโดนกระแสกดดันจากที่บ้าน เลยต้องมาเข้าคณะที่แทบจะเป็นรร.คอนแวนต์ อย่างเสียไม่ได้

เราไม่มีโอกาสทำตัวเป็นพระเอก Season Change นั่นทำให้รู้สึกผูกใจเจ็บนิดๆ เวลามีคนชมเราว่า “เก่งจัง เข้าจุฬา” ได้มาโดยตลอด โดยเฉพาะถ้าใครพูดถึงเราว่า “เนิร์ด” อันนี้จะโกรธมาก เพราะกูเนิร์ดไง เลยไม่ได้เรียนฟิล์มกับเธอคนนั้น

สถานการณ์เลวร้ายหนักเข้าไปอีก เมื่อสุดท้าย อาจารย์เหี้ยๆ ที่ภาคฟิล์ม ได้บดขยี้ความมั่นใจ, ความฝัน และความรักในภาพยนตร์ จากตัวเพื่อนเราไปเป็นผุยผง เหลือแค่ผู้หญิงคนหนึ่งที่ทำอะไรก็ได้ให้ตัวเองเรียนจบ เพื่อจะได้ไปทำอย่างอื่นแทน

เราอยู่จุฬา เรารับรู้ แต่ช่วยอะไรเธอไม่ได้ และประเมินสถานการณ์ผิดมากๆ ที่คิดว่าเพื่อนเรายังโอเคกับการทำหนังอยู่ และยังหลอกตัวเอง เดี๋ยวรีบเรียนจบ เราจะได้เจอกันในวงการ และมาทำหนังด้วยกัน เราอาจจะเขียนบท และให้เธอคนนั้นทำเป็นแอนิเมชั่น และหวังว่าจะชนะใจเธอเป็นแฟนได้สักวัน

อนิจจา ชีวิตจริงนอกจากจะไม่ได้เป็นแบบ Season Change แล้ว La La Land ก็ยังเป็นไม่ได้ เราเสียเวลา 4 ปีแรกกับการล้มลุกคลุนคลานหลังเรียนจบ เป็นทาสโง่ๆ ของครูละครใจหมา ที่เอาเปรียบไม่พอ ยังโกงเราไปจนหมดตัว ส่วนเธอก็ดิ้นรนหางานจนเหนื่อย แต่ก็ไม่ได้งานในวงการที่ฝันใฝ่ และก็เบนเข็มไปทำงานอื่นเพื่อให้ไม่อดตาย

เราโทรศัพท์ไปหาเธอ พยายามพูดคุยเพื่อจุดประกายฝันให้กับรักแรกของเรา ประหนึ่งเป็น Ryan Gosling ทั้งๆที่รู้อยู่แก่ใจว่าแม้แต่ตัวเองยังเอาไม่รอด ขณะที่ Emma Stone ก็ไม่พอใจที่เรากดดันให้ทำตามความฝันที่เธอไม่ใส่ใจมันแล้ว สุดท้ายเธอก็ตัดสัมพันธ์กับเรา ไม่คุยกับเราอีกจนวันนี้

หลังจากนั้น เราก็ถามตัวเองมาตลอดว่า “ห่าเอ๊ย กูเข้าไปทำอะไรในอักษรตั้ง 4 ปีวะ”

เราอยู่กับคำถามนี้มาหลายต่อหลายปี เพิ่งมาปล่อยวางมันได้เมื่อ 3 ปีที่แล้ว เมื่อค้นพบว่า แท้จริงแล้วความฝันเรื่องภาพยนตร์มันอยู่กับเราเสมอ ไม่ว่าจะมีเธอคนนั้นหรือไม่ก็ตาม และการไม่ได้จบภาพยนตร์โดยตรง ไม่ได้ทำให้ฝันหายไปเสียหน่อย

อย่างน้อยทักษะการเขียนที่เราได้มาตลอด 4 ปี มีส่วนช่วยให้เราเป็นนักเขียนบทที่ดี ทำให้เราได้เขียนซีรีส์ที่ส่งตรงถึงบ้าน ถึงเธอจะไม่อยากคุยกับเรา แค่ดูงานเราก็ดีใจแล้ว นั่นทำให้เราเริ่มขอบคุณประสบการณ์ในคณะอักษรขึ้นมา

ขอบคุณที่ทำให้เราพบว่า ทักษะสูงสุดที่ตัวเองมีคือ “การเขียน”

ขอบคุณที่ทำให้เรารู้ว่า เราสามารถเป็น “นักแปลมืออาชีพ” ได้

ขอบคุณที่ทำให้ไม่ต้องคาใจว่า เราควรจริงจังกับภาษาญี่ปุ่นมากกว่านี้หรือไม่

ขอบคุณที่ทำให้เราได้เจอกับ “เต๋อ-นวพล” และเค้าก็เป็นไอดอลเรานับแต่นั้น

ขอบคุณที่ทำให้เราเจอเพื่อนดีๆ มากมาย (หนึ่งในนั้นเป็นนักโยคะบำบัดที่ช่วยเราจากวิกฤติชีวิต และอีกหนึ่งในนั้นคือความรักครั้งต่อๆ มาของเราด้วย)

จริงๆ อยากขอบคุณมากกว่านี้นะ แต่แค่ 6 ข้อ ก็ทำให้เราไม่เกลียดตัวเองที่จบจากคณะนี้แล้วล่ะ

ส่วนปีนี้เราจะเปิดใจยอมรักมันดูสักครั้ง 🙂

Leave a Reply

Fill in your details below or click an icon to log in:

WordPress.com Logo

You are commenting using your WordPress.com account. Log Out /  Change )

Twitter picture

You are commenting using your Twitter account. Log Out /  Change )

Facebook photo

You are commenting using your Facebook account. Log Out /  Change )

Connecting to %s