แชดวิก โบสแมน นักแสดงฮอลลีวู้ด ผู้เป็นกระบอกเสียงให้คนผิวดำด้วยการแสดง

Thanyanan's avatarPosted by

ถ้าพูดถึงซูเปอร์ฮีโร่จาก Marvel Cinematic Universe ที่เป็นขวัญใจของแฟนภาพยนตร์ทั่วโลกแล้วล่ะก็ หนึ่งในนั้นต้องมีชื่อของ Black Panther หรือ ทีชัลล่า กษัตริย์แห่งอาณาจักรวากานด้าอยู่แน่ๆ ซึ่งความนิยมของกษัตริย์ทีชัลล่านั้นมาจากการแสดงอันยอดเยี่ยมของ แชดวิก โบสแมน นักแสดงแอฟริกัน อเมริกัน ที่แสดงได้อย่างเข้าถึงบทบาทนี่เอง แต่มีใครรู้ไหมว่า การทำให้โลกรู้จักคนผิวดำในภาพลักษณ์ใหม่ๆ เพื่อทำลายอคติของคนในสังคม คือความฝันและความตั้งใจของชายผู้นี้มาตลอด กับการย้อนดูประวัติของแชดวิก โบสแมน นักแสดงที่เป็นกระบอกเสียงให้กับคนผิวดำ

แชดวิก เกิดเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน ปี 1976 ที่รัฐเซาท์ แคโรไลน่า ประเทศสหรัฐอเมริกา พ่อของเขาเป็นพนักงานโรงงาน ส่วนแม่ของเขาเป็นพยาบาล แต่แพสชั่นที่แชดวิก มีตั้งแต่เด็กคือการทำงานในวงการบันเทิง โดยเฉพาะงานเบื้องหลัง ทั้งการเขียนบทและกำกับ เขาจึงไปเรียนคณะศิลปกรรมศาสตร์ สาขากำกับการแสดง ที่มหาวิทยาลัยโฮเวิร์ด

ระหว่างที่เรียนที่มหาวิทยาลัย แชดวิก ก็ได้รับโอกาสให้ไปเรียนการแสดงที่ British American Drama Academy มหาวิทยาลัยออกฟอร์ด ในฐานะนักเรียนแลกเปลี่ยนช่วงปิดภาคฤดูร้อน ตอนนั้นเขาไม่มีเงินมากพอที่จะเดินทางไปเรียนที่อังกฤษได้ แต่โชคยังเข้าข้างเมื่อ อาจารย์ที่สอนเขาที่มหาวิทยาลัย ได้ติดต่อกับเพื่อนของเธอในวงการ เพื่อช่วยสนับสนุนค่าเดินทางและค่าเรียนการแสดงที่อังกฤษ ซึ่งหนึ่งในเพื่อนของอาจารย์คนนั้นก็คือ เดนเซล วอชิงตัน นักแสดงฮอลลีวู้ดชื่อดังนี่เอง ซึ่งแชดวิกก็รู้สึกซาบซึ้งใจในน้ำใจของนักแสดงรุ่นใหญ่คนนี้เสมอมา ถึงขนาดกล่าวว่า “ไม่มีแบล็ค แพนเธอร์ ถ้าไม่มีเดนเซล วอชิงตัน” เลยทีเดียว

หลังจากเรียนจบที่มหาวิทยาลัยโฮเวิร์ด เขาก็ได้ไปเรียนด้านภาพยนตร์ต่อที่ New York City Digital Film Academy หลังจากเรียนจบที่นิวยอร์ค ชีวิตในวงการบันเทิงของแชดวิก กลับเป็นไปอย่างยากลำบาก เขาได้ทำงานเป็นครูสอนการแสดง นักเขียนบท ผู้กำกับ และนักแสดงละครเวที แต่ชีวิตในมหานครนิวยอร์คก็เป็นไปอย่างขัดสนเนื่องจากแชดวิกยังไม่มีชื่อเสียงในวงการ

แม้ในปี 2003 เขาจะได้รับบทในละครโทรทัศน์เป็นครั้งแรก กับเรื่อง All My Children ที่เขาต้องรับบทเป็นวัยรุ่นมีปัญหาจากสถานสงเคราะห์ แต่การรับงานแสดงทางโทรทัศน์เรื่องแรกกลับกลายเป็นฝันร้าย แม้แชดวิกแสดงได้ดีจนผู้จัดละครอยากให้เซ็นสัญญาระยะยาว แต่แชดวิกกลับเห็นปัญหาข้อหนึ่งในเรื่องบท เขาจึงแสดงคิดเห็นต่อผู้จัดละครไปว่า “การให้ตัวละครผิวดำในเรื่องมีแต่อาชญากรติดยา กับพ่อแม่ที่ไร้ความรับผิดชอบ มันดูเหมารวมมากไปหน่อย”

เขาตั้งคำถามกับผู้จัดละครเกี่ยวกับภาพจำในสังคมอเมริกันที่มีต่อคนผิวดำ ซึ่งตอนนั้นมักถูกมองในแง่ลบว่าเป็นพวกอาชญากร และคนติดยา การตั้งคำถามนี้ ทำให้ผู้จัดละครโกรธ และปลดเขาออกจากละครทันที แต่นั่นกลับปลุกวิญญาณในตัวของแชดวิก ทำให้เขาต้องการรับบทเป็นคนผิวดำที่สร้างอิมแพคต์ให้สังคม เพื่อสร้างภาพจำใหม่ให้กับคนผิวดำในสหรัฐอเมริกา นั่นอาจเป็นเพราะว่านอกจากการเรียนการกำกับและการแสดงที่มหาวิทยาลัยโฮเวิร์ดแล้ว แชดวิกยังได้ลงเรียนที่ The Schomburg Center for Research in Black Culture (เดอะ ชอมเบิร์ก เซนเตอร์ ฟอร์ รีเสิร์ช อิน แบลค คัลเจอร์) ด้านประวัติศาสตร์ของคนแอฟริกัน และ แอฟริกัน อเมริกัน ทำให้เขาเห็นการถูกกดขี่ และอคติที่คนดำต้องเจอในสังคมได้อย่างชัดเจน

หลังจากนั้นในปี 2008 แชดวิกก็ได้ย้ายมาอยู่ที่ลอส แองเจลิส เพื่อรับงานในวงการภาพยนตร์ แต่เขาก็ได้รับบทเพียงตัวละครสมทบเล็กๆ เท่านั้น แต่แชดวิกไม่ยอมแพ้ เพราะเขาเชื่ออยู่เสมอว่าถ้าเขาเต็มใจเลือกหนทางที่ยากและซับซ้อนกว่าปกติ ทางเลือกที่จะล้มเหลวมากกว่าสำเร็จในตอนแรก ทางเลือกที่คุณพิสูจน์แล้วว่ามีความหมายมากกว่า ทางเลือกที่จะมอบชัยชนะและความสง่างามมากกว่า เขาไม่มีอะไรต้องเสียใจ

แต่หลังจากอดทนมา 5 ปี ในปี 2013 โอกาสครั้งสำคัญในชีวิตของเขาก็มาถึง เมื่อเขาได้รับบทเป็น แจคกี้ โรบินสัน ในภาพยนตร์เรื่อง “42” แจคกี้ โรบินสันคือนักเบสบอลผิวดำคนแรกในเมเจอร์ ลีก เบสบอล ที่มีแต่คนผิวขาวเล่น แจคกี้ต้องต่อสู้กับการเหยียดผิว จนกลายเป็นนักเบสบอลชื่อดังในที่สุด ไม่ต่างจากตัวแชดวิก ที่อดทนมุ่งมั่นสู้ชีวิตเพื่อความฝันในการเป็นนักแสดงของตัวเอง

แจคกี้ โรบินสัน ใน “42” คือบทที่ทำให้แชดวิก โบสแมน ฉายแววในฐานะนักแสดงนำเป็นครั้งแรก ก่อนที่ปีต่อมาเขาจะได้รับบทนำในหนังชีวประวัติของราชาเพลงโซล “เจมส์ บราวน์” ในเรื่อง Get On Up ซึ่งในเรื่องนี้แชดวิก ได้โชว์ทักษะการเต้นที่เขาทุ่มเทฝึกซ้อมมาหลายเดือนอีกด้วย

จุดเปลี่ยนสำคัญของชีวิตแชดวิก มาถึงในปี 2016 ที่เขาได้เข้าร่วมจักรวาล Marvel Cinematic Universe ประกบกับนักแสดงชั้นนำอย่าง โรเบิร์ต ดาวนี่ จูเนียร์ และ คริส อีแวนส์ ด้วยการรับบทเป็น Black Panther ในภาพยนตร์ Captain America: Civil War นั่นคือหนังฟอร์มยักษ์เรื่องแรกที่เขาได้ร่วมงานกับทาง Marvel

จากนั้นเขาก็ได้รับบทนำอีกครั้งในภาพยนตร์ชีวประวัติเรื่อง Marshall ในปี 2017 ที่เล่าเรื่องของ เธอร์กู๊ด มาร์แชล หัวหน้าตุลาการสูงสุดคนแรกของสหรัฐอเมริกาที่เป็นคนผิวดำ และเป็นการรับบทนำเป็นคนแอฟริกัน อเมริกัน ที่มีชื่อเสียงประวัติศาสตร์ครั้งที่สามของเขา ตามความตั้งใจของแชดวิก ที่ต้องการใช้การแสดงเพื่อสร้างภาพลักษณ์ใหม่ๆ ให้กับคนผิวดำในอเมริกา

ความตั้งใจนั้นของเขาผลิดอกออกผลอย่างยิ่งใหญ่ในภาพยนตร์เรื่อง Black Panther ที่ออกฉายในปี 2018 Black Panther คือภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่ผิวดำคนแรกของ Marvel Studio ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ได้สร้างปรากฏการณ์ทั่วโลก ทำรายได้รวมไปถึง 1,346,900,000 เหรียญสหรัฐ และเป็นภาพยนตร์ที่ใช้นักแสดงผิวดำเป็นนักแสดงหลักเรื่องแรกและเรื่องเดียวที่ทำรายได้เกิน 1 พันล้านเหรียญสหรัฐอีกด้วย ความสำเร็จของ Black Panther ทำให้แชดวิก เติบโตจากการเป็น “นักแสดงมากฝีมือ” ไปเป็น “ซูเปอร์สตาร์ที่ใครๆต่างรู้จัก” เขากลายเป็นไอดอลของเด็กทั่วโลก ก่อนที่จะตอกย้ำความสำเร็จนั้นอีกครั้งในบท Black Panther กับภาพยนตร์ชุด The Avengers ทั้ง Infinity War และ Endgame

ไม่ใช่แค่ผลงานภาพยนตร์ที่สร้างภาพจำใหม่ๆ และเป็นกระบอกเสียงให้กับคนผิวดำในสังคม แชดวิก ยังได้ทำงานช่วยเหลือสังคมอีกมากมาย ทั้งการทำกิจกรรมกับเด็กในโรงพยาบาล หรือแม้แต่ไม่กี่เดือนก่อนที่เขาจะอำลาโลกนี้ไป เขายังได้บริจาคเงิน 4.2 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อชื้อชุด PPE ให้กับโรงพยาบาลในชุมชนคนแอฟริกัน-อเมริกัน ในช่วงที่โควิด-19 ระบาดอีกด้วย เรียกได้ว่าเขาใช้ชื่อเสียงและเงินทองอุทิศเพื่อผู้อื่นจนถึงที่สุดจริงๆ

แต่หลังจากที่เขาประสบความสำเร็จถึงขีดสุด ก็เริ่มมีข่าวซุบซิบออกมา เกี่ยวกับรูปร่างของแชดวิก ที่ดูซูบผอมลงอย่างเห็นได้ชัด แฟนๆ ภาพยนตร์เริ่มสังเกตความเปลี่ยนแปลงนี้ได้จากภาพยนตร์ดราม่าสงครามเวียดนามเรื่อง Da 5 Bloods ที่ออกฉายในปี 2020 และข่าวลือยิ่งหนักขึ้นไปอีกเมื่อเขาปรากฏตัวในอินสตาแกรมของช่อง africanancestry ในสภาพที่ผอมไปจากตอนเล่น Black Panther อย่างเห็นได้ชัด  เกิดข่าวลือมากมายว่าแชดวิก ติดยาบ้าง หรือบางข่าวก็บอกว่า เขาลดน้ำหนักเพื่อรับบทในภาพยนตร์เรื่องต่อไปบ้าง หรือบางข่าวก็บอกว่าเขากำลังป่วยอยู่บ้าง แต่แชดวิกก็ไม่ได้ออกมาแก้ข่าวหรือแสดงความเห็นอะไร

สุดท้ายในวันที่ 28 สิงหาคม 2020 โลกทั้งใบก็ได้ช็อคไปกับข่าวการเสียชีวิตของแชดวิก โบสแมน ในวัยเพียง 43 ปี ที่บ้านของเขา ท่ามกลางคนในครอบครัวอันเป็นที่รัก ทางต้นสังกัดได้เปิดเผยว่านักแสดงหนุ่มป่วยเป็นมะเร็งลำไส้ระยะที่ 3 มาตั้งแต่ปี 2016 แต่แชดวิกตัดสินใจปิดข่าวนี้ และสู้กับมะเร็งด้วยการถ่ายทำภาพยนตร์ต่อไปจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต และนี่คือชีวิตของแชดวิก โบสแมน ผู้เป็นที่รักของแฟนภาพยนตร์จากทั่วโลก นักแสดงผู้ใช้ความสามารถของตัวเองขับเคลื่อนสังคมไปข้างหน้า และอยู่ในความทรงจำของทุกๆ คนตลอดไป

Leave a comment