ณ อิสราเอล ดินแดนแห่งพันธสัญญา
ยาสซินคือหนุ่มมุสลิมเชื้อสายปาเลสไตน์ อาร์ลินคือสาวชาวยิวผู้นับถือศาสนาคริสต์ มอร์มอน
แม้จะอาศัยอยู่ในประเทศเดียวกัน โลกของคนสองคนที่แตกต่างทั้งศาสนาและวัฒนธรรม ดูจะเป็นเส้นขนาน
เขาพูดอาหรับ เธอพูดฮิบรู เขาอยู่ในสังคมคนปาเลสไตน์ เธออยู่ในสังคมคนยิว
25 ปีผ่านไป เมื่อทั้งสองเติบโตขึ้น ต่างคนต่างแบกเป้และกล้องวิดิโอ เดินทางไปคนละมุมโลก
และแชนแนล vlog บันทึกการเดินทางนี่เองที่ทำให้ทั้งคู่ได้รู้จักกัน
การเดินทางของ “เขา”
ยาสซิน มาจากครอบครัวชนชั้นกลางที่คุณแม่เป็นครู และคุณพ่อเป็นนักจิตวิทยา ถึงแม้ฐานะทางบ้านจะทำให้ชีวิตของยาสซินไม่ต้องลำบากอะไร แต่เขาตระหนักดีว่า การเป็นคนอาหรับ ถูกสายตาคนอื่นมองอย่างมีอคติ
เมื่อตอนที่เหตุก่อการร้าย 9/11 ที่ตึก World Trade Center ถล่ม ทั่วโลกต่างพากันเหมารวมคนอาหรับ คนมุสลิม อย่างเหมารวม ด้วยสายตาอันสงสัยว่าเป็นผู้ก่อการร้าย และทัศนคติลบแบบนี้เอง ทำให้ยาสซินในวัย 10 ขวบ ตัดสินใจเปลี่ยนชีวิตตัวเองด้วยการฝึกพูดภาษาอังกฤษอย่างจริงจัง
ยาสซิน ดูหนังฮอลลีวู้ดและพูดตามอย่างบ้าคลั่ง เขาฝึกพูดประโยคเดิมซ้ำไปซ้ำมาเป็นร้อยๆ รอบ จนกระทั่งเขาสามารถพูดภาษาอังกฤษสำเนียงอเมริกันได้ไม่ต่างจากเจ้าของภาษา
จุดเปลี่ยนอีกอย่างหนึ่งในชีวิตของเขาคือตอนอายุ 13 เมื่อเด็กหนุ่มที่อยู่ในสังคมคนอาหรับ ได้มาเจอกับคนยิว ในอิสราเอลเป็นครั้งแรกในชีวิต หลังจากที่พ่อของเขา พาเขาไปพบกับลูกของเพื่อนพ่อ ยาสซินพบว่า ภาษาและวัฒนธรรมที่แตกต่าง ทำให้ทั้งคู่ไม่สามารถสื่อสารกันได้ และนั่นเป็นปมในใจเขา ให้เขาอยากออกไปผจญโลกกว้าง และผูกมิตรกับผู้คนที่หลากหลาย
“ครั้งแรกที่ผมเจอกับชาวยิว มันก็ปิ๊งขึ้นมาในหัวผมว่า พวกเขาเป็นใครกัน”
“ผมสาบานได้เลยว่าผมไม่รู้จะพูดอะไร ทั้งกำแพงทางภาษา กำแพงทางวัฒนธรรม ผมไม่คาดคิดว่ามันแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะเป็นเพื่อนกันได้”
เพื่อนชาวยิวคนแรกของยาสซิน คือเพื่อนร่วมมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ที่ยาสซินไปเรียนต่อด้านวิศวกรรมการบิน และจากเพื่นต่างวัฒนธรรมคนแรก เขาก็ได้เจอเพื่อนต่างเชื้อชาติศาสนาอีกนับร้อย เมื่อเขาได้ทำงานเป็นโปรแกรมเมอร์ที่ Venmo บริษัททำแอปพลิเคชั่นด้านการเงินที่นิวยอร์ก
หลังจากทำงานไปได้สักพัก เขาก็เบื่อหน่ายกับงานรูทีน 9 โมงเช้าถึง 5 โมงเย็น ยาสซินลาออกจากงานในปี 2016 เขาใช้เงินเก็บราว 60,000 ดอลลาร์ ซื้อกล้อง ไมโครโฟน และตั๋วเครื่องบินไปเคนย่า เพื่อเริ่มทำภารกิจสำคัญ
“เดินทางรอบโลก 1,000 วัน และทำวิดิโอวันละ 1 ตัว”
และนี่คือที่มาของ NAS Daily คำว่า Nas เป็นภาษาอาหรับแปลว่า “ผู้คน” และเขาใช้เวลาราวๆ 9 ชั่วโมงต่อวันในการคิดบท ถ่ายทำ และตัดต่อวิดิโอ 1 คลิป ความยาว 1 นาที ประสบการณ์และข้อคิดต่างๆ ที่เขาได้จากการเดินทางไปยังแต่ละที่ลงใน Facebook
โชคเข้าข้างเขาตั้งแต่วันแรกๆ เมื่อนายทุนจากรัสเซียที่มาทำธุรกิจในเคนย่า เห็นวิดิโอของเขาและชอบ จึงออกเงินเป็นสปอนเซอร์ให้เดือนละ 3,000 เหรียญ ทำให้ยาสซิน เดินทางได้อย่างไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลังมากนัก หลังจากที่ทำงานแบบ one man show มาเกือบ 2 เดือน เขาก็ได้พบกับหญิงสาวชาวยิวผู้เปลี่ยนชีวิตเขาไปตลอดกาล
ตอนนั้นยาสซินเดินทางกลับบ้านเกิด ไปถ่ายคลิปที่ 58 ที่เยรูซาเล็ม หลังจากที่เขาโพสต์วิดิโอลงเพจ ก็มีคอมเมนต์จากสาวชาวยิวคนหนึ่งว่า “วิดิโอนี้เจ๋งนะ ฉันก็ชอบเยรูซาเล็มเหมือนกัน เราควรรู้จักกันไว้” จากแอคเคานท์ของ อาร์ลีน ทาเมียร์
ยาสซินรู้ทันทีว่าเขาเจอคนที่ “ใช่”
การเดินทางของ “เธอ”
อาร์ลีน เกิดและเติบโตในครอบครัวฐานะดีที่เคร่งศาสนาคริสต์ นิกายมอร์มอน นิกายนี้เคร่งครัดในกฎระเบียบ นั่นทำให้ 27 ปีแรกในชีวิตของอาร์ลีน เธอไม่เคย “พูดคำหยาบ สูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ น้ำชา หรือแม้แต่กาแฟ”
หลังจากเรียนจบมหาวิทยาลัย เธอก็แต่งงานกับนักธุรกิจคนหนึ่ง และก่อตั้งบริษัทสตาร์ทอัพร่วมกับสามีของเธอ น่าเสียดายที่ความสัมพันธ์นั้นอยู่ได้ไม่นาน ในปี 2016 เธอหย่ากับสามี และนั่นคือจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในชีวิต
อาร์ลีนตัดสินใจก้าวออกจาก comfort zone และเริ่มต้นชีวิตใหม่ เธอลาออกจากการทำงาน เลิกนับถือศาสนา เริ่มดื่มกาแฟ และออกเดินทางทั่วโลก ไปพร้อมกับทำ vlog ลง Facebook, Youtube และโพสต์ภาพลง Instagram ในชื่อ Dear Alyne และเมื่อเธอเห็นวิดิโอของ NAS Daily เธอรู้ทันทีว่าบนโลกนี้ยังมีคนที่มีฝันแบบเดียวกับเธออยู่
หลังจากเธอพิมพ์คอมเมนต์ในเพจของยาสซิน หนุ่มชาวปาเลสไตน์ก็ตอบกลับ และชวนเธอเดินทางไปด้วยกัน ต่างคนต่างช่วยกันทำคอนเทนต์ให้กันและกันตลอดทริปในทวีปต่างๆ
หลังจากร่วมเดินทางกันปีกว่าๆ ในวิดิโอที่ 445 ของ NAS Daily ยาสซินกับอาร์ลีนก็ประกาศต่อคนทั้งโลกว่า “เราเป็นแฟนกัน”
ความต่างทางวัฒนธรรม เช่นเดียวกับวิถีชีวิต ทำให้ทั้งคู่ทะเลาะกัน และเกือบจะเลิกกันหลายต่อหลายครั้ง แต่สุดท้ายทั้งสองคนก็ไม่ปล่อยมือกัน ความสัมพันธ์ระหว่างการเดินทางของทั้งคู่ผลิบานไปพร้อมกับความสำเร็จทางธุรกิจ Facebook Page ของทั้งคู่มียอด Follower หลักล้าน เช่นเดียวกับ Instagram ของอาร์ลีนก็มีคนติดตามหลายแสนคน
หลังจากที่ผ่านร้อนผ่านหนาวเดินทางทั่วโลกไปกับ NAS Daily ครบ 1,000 วิดิโอ ไปพร้อมกับทำคอนเทนต์ของตัวเอง อาร์ลีนและยาสซินตัดสินลงหลักปักฐานที่ประเทศสิงคโปร์
การเดินทางของ “เรา”
ยาสซินเปิดบริษัท NAS Daily Global เอเจนซี่ด้านวิดิโอคอนเทนต์ นี่ทำงานร่วมกับแบรนด์ต่างๆ และสนับสนุน vlogger หน้าใหม่ เปิดโปรเจคต์ใหม่เป็นรายการทอล์คโชว์ของตัวเอง รวมถึงยังคงทำคลิปลง NAS Daily ทุกสัปดาห์
ขณะที่อาร์ลิน ยังคงเดินทางไปทำคอนเทนต์ในเพจ Dear Alyne ทำสตาร์ทอัพของเธอเองในชื่อ Girl Gone Global เอเจนซี่สนับสนุนคอนเทนต์เกี่ยวกับผู้หญิงโดยเฉพาะ และทำ podcast ของตัวเองในชื่อ How to Life อีกด้วย
ถึงแม้ทั้งคู่จะยุ่งกับโปรเจคต์ของตัวเอง และอาจไม่ได้ทำงานด้วยกันเหมือนเคย แต่นั่นไม่ได้แปลว่าความรักของทั้งคู่จะจืดจาง เพียงแค่มันเปลี่ยนสถานที่จากหน้ากล้อง เป็นหลังกล้อง และจากพื้นที่กว้างใหญ่ทั่วโลก เป็นพื้นที่เล็กๆ ที่อบอุ่น ที่เรียกว่า “บ้าน”
เมื่อถูกถามว่าทำไมทั้งคู่ที่พื้นเพต่างกัน ถึงสามารถคบและเดินทางไปด้วยกันยาวนานขนาดนี้ อาร์ลีนตอบว่า “เขาเป็นคนที่เวลาทำอะไรที่ไม่ดีใส่ฉัน และฉันพูดตรงๆ กลับเขาจะปรับปรุงตัว”
ส่วนยาสซินตอบว่า “ในหนึ่งเรื่องแย่ๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างเรา เทียบไม่ได้กับ 5 สิ่งดีๆ ที่เรามีให้กัน… และถ้าเรารักษาอัตราส่วนนี้ไว้ได้ เราก็จะอยู่ด้วยกันไปตลอด”
แหล่งอ้างอิง
http://superbhub.com/entertainment/nas-daily-girlfriend-alyne-tamir-husband/
Nas Daily
Alyne Tamir Bio, Age, Facts, Family, Photos and Carrier