สนามบอลคือค่ายทหาร : เฟลิกซ์ มากัธ โค้ชจอมเผด็จการ ที่มีสมญานามว่า “ซัดดัม”


“คุณมีเวลา 30 นาทีบนสวรรค์ ก่อนที่ปีศาจจะรู้ว่าคุณเสียชีวิต (และพาคุณลงนรก)”

นี่คือสำนวนของชาวไอริชโบราณที่หมายความว่า ช่วงเวลาสั้นๆ ก่อนที่จะเกิดหายนะครั้งใหญ่ มักจะเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขที่หลอกให้คนตายใจ

ไม่ต่างอะไรกับนักเตะทีมหมาป่าเมืองเบียร์ โวล์ฟสบวร์ก ที่มาเก็บตัวช่วงปรีซีซันฤดูกาล 2008/09 ที่สวิตเซอร์แลนด์

Photo : wolfs-blog.de

หลังจากทานข้าวกลางวัน เฟลิกซ์ มากัธ (Felix Magath) กุนซือใหญ่ของทีมได้บอกกับนักเตะทุกคนว่า วันนี้จะงดซ้อมในช่วงบ่าย ให้รางวัลนักเตะทุกคนไปดื่มกาแฟและทานเค้กกันที่คาเฟ่แห่งหนึ่งบนภูเขา คาเฟ่นั้นล้อมรอบไปด้วยทัศนียภาพแมกไม้งามตา และอากาศดีๆ ที่หายใจได้เต็มปอด นักเตะทุกคนแฮปปี้ และรอขึ้นกระเช้าไปที่ร้านกาแฟอย่างตื่นเต้น

แต่แล้วนรกก็มาเยือน

“เอ้า ทุกคนวิ่ง” ผจก.ทีมสัญชาติเยอรมันเชื้อสายเปอร์โตริโกสั่งลูกทีม ทุกคนยืนงงและมองหน้ากัน แน่นอนว่าโค้ชหมายความตามที่พูดทุกตัวอักษร และทุกคนต้องทำตาม

นักฟุตบอลโวล์ฟบวร์กทุกคนต้องสปรินต์เต็มกำลังขึ้นเขาในระยะทาง 2.3 กิโลเมตร โดยเฟลิกซ์ มากัธ โค้ชวัย 54 ปี ก็วิ่งตามหลังนักเตะขึ้นไปด้วย ระหว่างทาง “กราฟิเต้” กองหน้าดาวซัลโวชาวบราซิลของทีม ถึงกลับหมดสติจากความเหนื่อยล้า และถูกทีมแพทย์หามขึ้นเปลสนามลงจากเขาทันที ส่วนคนอื่นๆ ก็ได้แต่ก้มหน้ากัดฟันวิ่งต่อไป

นักฟุตบอลวิ่งถึงยอดเขาทั้งน้ำตา มีเพียงเฟลิกซ์ มากัธ ที่ยังคงหน้านิ่ง คีพลุกจริงจัง และบอกทุกคนว่า “ไปทานเค้กได้”

Photo : wikimedia.org

การฝึกซ้อมด้านพละกำลังอย่างบ้าคลั่งเป็นเครื่องหมายการค้าของโค้ชจอมฟิต เฟลิกซ์ มากัธ มาทุกยุคสมัย จนเขาได้ฉายา (ที่นักเตะเอาไว้นินทาลับหลัง) ว่า ควอลิกซ์ (Qualix) มันเป็นคำผสมกันระหว่าง Qualen ที่แปลว่า “ทรมาน” ในภาษาเยอรมัน กับชื่อ Felix ของโค้ช รวมถึงสมญานามอื่นๆ อย่าง “ผู้นำเผด็จการคนสุดท้ายของยุโรป” ที่สะท้อนถึงการควบคุมทุกอย่างในทีมเบ็ดเสร็จ

ในสัญญาของเฟลิกซ์ มากัธ จะระบุไว้ชัดเจนว่า เขาต้องมีสิทธิตัดสินใจในการซื้อขายนักเตะทั้งหมดด้วยตัวเอง (ซึ่งปกติฟุตบอลเยอรมัน เฮดโค้ช จะดูแลเรื่องการซ้อมและวางแท็คติกตอนแข่ง แต่ sport director หรือผู้อำนวยการกีฬา จะดูแลเรื่องการซื้อขายนักฟุตบอล) และยังต้องให้เขาเป็นหนึ่งในบอร์ดบริหารสโมสรด้วย

เช่นเดียวกับการตั้งกฏระเบียบยิบย่อยมากมายในทีม อาทิ ห้ามนักฟุตบอลร้องเพลงระหว่างอาบน้ำ และลงโทษด้วยการสั่งปรับเงินแบบไม่ไว้หน้าใคร เช่นปรับเงินคนที่มาซ้อมสายนาทีละ 100 ยูโร (3,500 บาท) และปรับเงินนักเตะถึง 1,000 ยูโร (35,000 บาท) ถ้าระหว่างเกมเขาส่งลูกบอลคืนหลังมากเกินไป

Photo : metro.co.uk

นั่นทำให้ ตลอดการคุมทีมมา 30 ปีของเขาทั้งใน เยอรมนี อังกฤษ และจีน ไม่มีฉายาใดจะเหมาะกับเฟลิกซ์ มากัธมากไปกว่า “ซัดดัม” ที่ตั้งชื่อตามอดีตผู้นำเผด็จการทหารของอิรัก ซึ่งเจ้าตัวออกยืดอกยอมรับด้วยความเต็มใจ

“ไม่เคยมีใครตายเพราะการฝึกซ้อมของผมสักหน่อย” มากัธกล่าวอย่างไม่หยี่ระ

จุดกำเนิดจอมโหด

คิดว่าเฟลิกซ์ มากัธ ได้เอาแนวคิดแบบเผด็จการทหารมาจากไหน? คำตอบคือ “มันอยู่ในสายเลือด”

พ่อของเขาเป็นทหารอเมริกัน ที่มาประจำการที่เมืองอชัฟเฟินบวร์ค (Aschaffenburg) และได้พบรักกับหญิงสาวในเมืองนั้น และมีทายาทด้วยกันในปี 1953

ถึงอย่างนั้น เมื่อเฟลิกซ์อายุได้ 2 ขวบ คุณพ่อปลดประจำการ ก็ทิ้งภรรยาให้เป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว และกลับเปอร์โตริโกไปเสียดื้อๆ เฟลิกซ์ตอนอายุ 15 ได้พยายามตามหาพ่อของเขา ด้วยการเขียนจดหมายไปที่หนังสือพิมพ์ เอล โบเซโร (El Vocero) ทั้งสองคนยังติดต่อกันบ้าง แต่กว่าเฟลิกซ์ จะได้พบพ่อจริงๆ ก็ต้องรอถึงปี 1999 ตอนที่เขาอายุจะ 50 แล้ว

Photo : pbs.twimg.com

เฟลิกซ์ในตอนวัยรุ่นก็มีความฝันเหมือนเด็กเยอรมันทั่วๆ ไปคือการเป็นนักฟุตบอลอาชีพ เขาเริ่มต้นจากการเป็นนักเตะเยาวชนของทีมสมัครเล่นในท้องถิ่น วิคตอเรีย อชัฟเฟินบวร์ค (Viktoria Aschaffenburg) ก่อนที่จะถูกทีมซาบรุคเค่น (Saarbrucken) ในลีกา 2 ซื้อตัวไป เขาเล่นในลีกา 2 แต่ไม่ถึง 2 ซีซัน เขาก็ได้เซ็นต์สัญญากับสิงห์เหนือ ฮัมบูร์ก (Hamburger SV) ยอดทีมในบุนเดสลีกา ในปี 1976 เมื่ออายุ 23 ปี และภายในฤดูกาลแรกที่เล่นในลีกสูงสุด เขาก็ติดทีมชาติเยอรมันตะวันตก

หมากรุก รักแท้และผู้จุดประกายความคิด

Photo : nytimes.com

Turning point สำคัญของมากัธเกิดขึ้นในซีซัน 1978–79 ที่เขาป่วยเป็นโรคตับอักเสบบี และต้องพักเกือบครึ่งฤดูกาล ระหว่างที่นอนพักฟื้น เขาเปิดทีวีและเจอการถ่ายทอดสดการแข่งขันหมากรุกชิงแชมป์โลกระหว่างแกรี่ คาสปารอฟ (Garry Kasparov) กับ วิคเตอร์ คอร์ชนอย (Victor Korchnoi) วินาทีที่เขาเห็นชาวรัสเซียสองคนประลองหมากกระดาน เขาก็หลงไหลมันอย่างถอนตัวไม่ขึ้น เขาฝึกเล่นหมากรุก และเอาแนวคิดมาประยุกต์กับเส้นทางการค้าแข้ง

“ผมได้ความรู้มหาศาลจากหมากรุก และเอามาใช้กับฟุตบอล”

“ผมเข้าใจเลยว่าทุกการเคลื่อนไหว มีความหมายซ่อนอยู่ หรือการที่เราต้องหาทางโจมตีคู่ต่อสู้ให้ได้ในการเคลื่อนที่แต่ละครั้ง ถ้าใช้กับฟุตบอล มันหมายถึงจะเราลดโอกาสของคู่ต่อสู้ หรือการปรับเปลี่ยนจังหวะบอลอย่างทันที โดยที่เรายังสามารถควบคุมทุกอย่างได้”

Photo : hsv24.mopo.de

ตั้งแต่นั้นมา การเล่นของเฟลิกซ์ มากัธก็พัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดด เขากลายเป็นหนึ่งในเพลย์เมคเกอร์ที่ดีที่สุดในยุโรป แม้จะสูงเพียง 172 เซนติเมตร แต่ทดแทนด้วยวิสัยทัศน์ การอ่านเกม และพละกำลังในการวิ่งที่ไม่มีวันหมด จนได้รับการขนานนามว่าเป็น “จอมขมังเวทย์” แห่งโลกลูกหนัง

เขาพาฮัมบูร์กคว้าถาดแชมป์บุนเดสลีกาได้ 3 สมัย คัพวินเนอร์สคัพ 1 สมัย และไฮไลท์สำคัญคือการพาทีมสิงห์เหนือคว้าแชมป์ยูโรเปียนคัพในปี 1983 เช่นเดียวกับการคว้าแชมป์ยุโรปกับทีมชาติเยอรมันในปี 1980 และตำแหน่งรองแชมป์ฟุตบอลโลกในปี 1982 และ 1986 ซึ่งเขาตัดสินใจแขวนสตั๊ดหลังจบฟุตบอลโลกปีนั้นเอง

หลังจากแขวนสตั๊ด จอมขมังเวทย์ ก็ทำงานในวงการฟุตบอลต่อทันที และใช้ศาสตร์แห่งหมากรุกในการ “ควบคุม” ทีม

นักฟุตบอล = หมากบนกระดานของโค้ช

“ผมคาดหวังให้นักฟุตบอลของผมพิสูจน์ตัวเองด้วยความสามารถทางกีฬา ถ้าผู้เล่นคนไหนทำไม่ได้ ผมก็ไม่เอาไว้”

“คุณจะต้องรักษาระยะห่าง เพื่อคุมทีมให้ประสบความสำเร็จ ในฐานะโค้ช ผมจะต้องตัดสินใจโดยไม่เอาอารมณ์ความรู้สึกมาเกี่ยวข้อง”

Photo : independent.co.uk

นี่คือหลักปรัชญาในการคุมทีมของโค้ชจอมขมังเวทย์ ที่ตัดสินคนจาก “ผลงาน” เท่านั้น โดยที่เขาจะไม่เข้าไปสนิทสนมหรือดูแลสภาพจิตใจให้ใคร และพร้อมเคี่ยวเข็ญทุกคนอย่างเอาเป็นเอาตาย ประกอบกับ แนวคิดของหมากรุกว่าการเคลื่อนหมากหนึ่งตัวบนกระดาน ย่อมสัมพันธ์กับหมากตัวอื่นๆ ไม่แปลกเลยที่เขาจะต่อรองขออำนาจเบ็ดเสร็จในการทำทีม ทั้งการซื้อตัว และบริหารสโมสร

ปี 1995 ฤดูกาลแรกที่เฟลิกซ์ มากัธ เปิดตัวในฐานะผู้จัดการทีมฮัมบูร์ก ในการฝึกซ้อมช่วงเบรกหนีหนาว เขาสั่งให้ทีมไปเก็บตัวฝึกซ้อมที่เมืองที่หนาวที่สุดในเยอรมนี และนักฟุตบอลทุกคนต้องตื่นมาวิ่งกลางหิมะ ตั้งแต่ 6 โมงเช้า ก่อนพระอาทิตย์จะขึ้น

การวิ่งครอสครันที่ วิ่งข้ามป่า วิ่งขึ้นเขา เป็นกิจวัตรประจำวันที่นักฟุตบอลทุกคนต้องเจอ

“พวกเราต้องวิ่งเต็มฝีเท้าจากด้านหนึ่งของป่าทะลุไปอีกด้านหนึ่งภายใน 45 นาที ซึ่งมันเป็นทางขึ้นเขาด้วยนะ ที่แขนของพวกเราทั้งสองมีลูกบอลยางสำหรับออกกำลังกายผูกเอาไว้เพื่อถ่วงน้ำหนัก และเราต้องไปให้ถึงที่หมายแข่งกับเวลา ถ้าพวกเราวิ่งไปไม่ทันเวลา ทั้งทีมก็จะโดนซ่อมให้วิ่งใหม่ไปเรื่อยๆ ผมแม่งแทบตายกว่าจะจบเซสชั่นฝึกซ้อมของมากัธในแต่ละวันได้”

แยน อาเก้ ฟอร์ทอฟต์ กองหน้าสัญชาตินอร์เวย์รำลึกถึงความหลัง สมัยที่เขาคุมทีมแฟรงค์เฟิร์ต

Photo : i66.tinypic.com

เช่นเดียวกับที่โวล์ฟบวร์ก โค้ชจอมขมังเวทย์ ได้สั่งให้สร้างเนินสูงราวๆ 4 เมตรที่เรียกว่า ‘Hill of Suffering’ ไว้ในสนามซ้อมให้นักฟุตบอลได้ซ้อมวิ่งขึ้นลงเสริมกำลังขาโดยเฉพาะ รวมถึงการตั้งกฏระเบียบเล็กๆ น้อยๆ อีกมากมาย ที่เคร่งครัดราวกับอยู่ในค่ายทหาร เช่น ระหว่างการเดินไปพักผ่อนหลังทานข้าว ห้ามใครเล่นโทรศัพท์หรือฟังเพลงจาก iPod และใครที่มาซ้อมสาย จะถูกจับให้ซ้อมวิ่งเพิ่มหลังจากฝึกซ้อมของทีม เป็นเวลา 2 อาทิตย์ เป็นต้น  (เช่นเดียวกับกฏอื่นๆ ที่บอกไปในตอนแรก)

“ทุกคนรู้ดีว่าผมเห็นความฟิตเป็นเรื่องใหญ่ คุณต้องผลักตัวเองไปให้สุดขอบเพื่อดึงศักยภาพออกมาอย่างเต็มที่”  

Photo : skysports.com

ถึงอย่างนั้น การฝึกซ้อมที่ท้าทายขีดความสามารถของมนุษย์ กลับได้ผลอย่างไม่น่าเชื่อ ในช่วงทศวรรษ 2000 เขาทำให้ทีมไอน์ทรัค แฟรงค์เฟิร์ตรอดตกชั้น และทำให้ทีมสตุทการ์ท พุ่งจากทีมหนีตกชั้นมาเป็นทีมหัวตารางทันทีที่เขาคุมทีม ประกอบกับการบันดาลให้โวล์ฟบวร์กได้แขมป์บุนเดสลีกาครั้งประวัติศาสตร์ในปี 2009 เช่นเดียวกับการได้รับรางวัลผู้จัดการทีมแห่งปีถึง 3 สมัยในปี 2003, 2005 และ 2009 รวมถึงแชมป์อื่นๆ อีกมากมาย

จนทำให้ยอดโค้ชนักทรมานกล้าบอกกับผู้สื่อข่าวอย่างไม่กลัวโดนหมั่นไส้ว่า “ทำไมต้องเปลี่ยนวิธีฝึกซ้อมล่ะ ในเมื่อผมคือผู้จัดการทีมที่ประสบความสำเร็จที่สุดในเยอรมนี”

ด้านมืดของวินัย

เหรียญย่อมมีสองด้านเสมอ การฝึกซ้อมที่รุนแรงและวินัยที่หนักหน่วง ทำให้นักเตะทีมเล็กๆ รวมกันเป็นหนึ่งและพร้อมทำทุกอย่างตามที่โค้ชในฐานะแม่ทัพใหญ่สั่งก็จริง แต่สำหรับนักฟุตบอลทีมใหญ่ที่เก่งและมีอีโก้สูง เฟลิกซ์ มาร์กัธ เป็นเพียงแค่ตาแก่น่ารำคาญ ที่อวดอ้างแต่ความสำเร็จเก่าๆ ใช้แต่พระเดชกดดันให้ลูกทีมทำตาม

Photo : tmssl.akamaized.net

ตอนคุมบาร์เยิน มิวนิค แม้เขาจะได้ดับเบิ้ลแชมป์ บุนเดสลีกา ควบเดเอฟเบโพคาล 2 ซีซันติด แต่เขาไม่ได้เป็นที่นิยมชมชอบของนักเตะ รวมถึงบอร์ดบริหารเลยแม้แต่น้อย โชคดีที่ขีดความสามารถของแข้งเสือใต้สูงกว่าทีมอื่นมาก และวัฒนธรรมของทีมเข้มแข็งอยู่แล้ว เลยคว้าความสำเร็จได้ ส่วนในซีซันที่สาม เขาก็โดนตะเพิด เพราะไปงัดข้อกับผู้บริหาร

อูลี่ เฮอเนส ประธานสโมสรบาร์เยิน มิวนิค ให้นิยามลูกน้องเก่าของเขาว่าเป็น “พวกหวาดระแวง” และ “คลั่งการควบคุม” พร้อมสำทับไปว่า “ผมไม่มีวันที่จะปฏิบัติต่อเพื่อนมนุษย์ แบบเดียวกับกับที่ไอ้หมอนั่นทำเป็นอันขาด”

Photo : andina.pe

เช่นเดียวกับเจฟเฟอร์สัน ฟาร์ฟาน แข้งทีมชาติเปรูที่เคยร่วมงานกับเฟลิกซ์ มากัธ ที่ชาลเก้ 04 ระหว่างปี 2009-2011 ก็ได้ให้สัมภาษณ์ไม่ไว้หน้าเจ้านายเก่าเอาไว้ว่า

“ผู้จัดการทีมทุกคนที่ชาลเก้เคยมีมาในปีก่อนๆ ล้วนทำสิ่งดีๆ ฝากไว้ให้กับสโมสร แต่มีแค่คนหนึ่งที่ไม่ได้ทำประโยชน์อะไรเลย นั่นคือมากัธ สิ่งที่เค้าทำมีแค่การปรับเงินนักฟุตบอลเท่านั้น”

นอกจากนี้ ยังมีเสียงตะโกนของกองเชียร์ชาลเก้ 04 ที่ร่วมกันกระหน่ำใส่ “ผู้นำเผด็จการคนสุดท้ายของยุโรป” ว่า “เฟลิกซ์ มากัธออกไป” “ไม่ต้องกลับมาอีก” เสริมเข้าไปอีกด้วย

Photo : wikimedia.org

หลังจากความล้มเหลวไม่เป็นท่ากับการเป็นเฮดโค้ชและผู้อำนวยการฟุตบอลที่ชาลเก้ เขาโดนตะเพิดออกจากทีมในปี 2011 เฟลิกซ์ มากัธ กลับไปคุมโวล์ฟบวร์กอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ โชคไม่เข้าข้าเอาเสียเลย ทีมแพ้เอาๆ นักเตะเล่นกันแบบไร้ใจพร้อมไล่โค้ช แต่การมีอำนาจเบ็ดเสร็จทำให้เขาใช้เงินอย่างมือเติบ เมื่อมีนักเตะไม่เอาด้วย เฟลิกซ์ก็ซื้อนักเตะใหม่มาเล่น หรือไม่ก็ดันนักเตะจากชุดเยาวชนขึ้นมาแทน

ไม่น่าเชื่อว่าฤดูกาลสุดท้ายของโค้ชจอมเผด็จการกับโวล์ฟบวร์ก เขาใช้นักเตะไปถึง 32 คน และใช้เงินกับการซื้อแข้งใหม่ถึง 70 ล้านยูโร กับทีมที่ไม่ได้ใหญ่มากอย่างโวล์ฟบวร์ก นี่คือฟางเส้นสุดท้ายที่เจ้าของทีมเกินจะทน และเขาโดนปลดออกในปี 2012

กิตติศัพท์การเป็น “ซัดดัม” ของเฟลิกซ์ มากัธ เป็นที่รู้กันดีทั่วเยอรมัน และไม่มีทีมไหนอยากจ้างโค้ชเจ้าปัญหาไปคุม นั่นทำให้กุนซือผู้โอหัง ตกงานถึง 2 ปีเต็ม ก่อนที่จะได้รับโอกาสจากทีมเล็กๆ ที่กำลังหนีตายในพรีเมียร์ลีกอังกฤษ “ฟูแล่ม” กับโอกาส 12 นัดในการพาทีมหนีโซนตกชั้น

จอมขมังเวทย์สิ้นมนขลัง

Photo : heraldscotland.com

ความพยายามกลับมาเกิดใหม่ของเฟลิกซ์ มากัธ กลายเป็นสุสานขุดหลุมฝังเขาจากอาชีพผู้จัดการทีมโดยสมบูรณ์ เมื่อฟูแล่มตกชั้น โดยแพ้ไป 6 จาก 12 เกม พร้อมกับการสร้างวีรกรรมของการเป็น “ซัดดัม” ให้รู้จักกันทั่วสหราชอาณาจักร

“หลังจากที่พวกเราออกไปแพ้ในเกมเยือน เราขึ้นรถบัส และเขา (เฟลิกซ์ มากัธ) ก็พูดขึ้นมาว่า พรุ่งนี้ผมขอให้พวกคุณมา 8 โมงตรง เรามีนัดซ้อมพิเศษกัน” สตีฟ ซิดเวลล์ อดีตนักเตะของทีมเจ้าสัวน้อย ณ เวลานั้นรำลึกความหลัง

เมื่อนักฟุตบอลฟูแล่มถึงสนามซ้อม ก็พบว่าเฟลิกซ์ มากัธมารอพวกเขาอยู่แล้ว แต่ครั้งนี้มาแปลกตรงที่ ทุกคนสังเกตดเห็นว่าในสนามซ้อมไม่มีลูกฟุตบอลปรากฏให้เห็นเลยสักลูก

“ทุกคนเข้าประจำตำแหน่ง” เฟลิกซ์สั่ง

“ในเมื่อเมื่อวานพวกเอ็งไม่ยอมวิ่ง วันนี้พวกเอ็งก็ไม่ต้องวิ่ง”

ตอนนั้นเป็นช่วงหน้าหนาวและอุณหภูมิอยู่ปริ่มๆหลักหน่วย แต่อดีตโค้ชบาร์เยิน มิวนิคและโวล์ฟบวร์ก ก็สั่งให้นักฟุตบอลฟูแล่มยืนเฉยๆ บนสนาม เฟลิกซ์เดินไปรอบๆ ตรวจเช็คว่าทุกคนได้ถอดถุงมือออก และไม่มีใครขยับตัวออกจากตำแหน่ง

“วันนั้นมันหนาวมาก และมีนักฟุตบอลสองคนใส่ถุงมือมา แน่นอนว่าพวกเขาถูกสั่งให้ถอดออกทันที ผมเห็นใบไม้ถูกลมพัดปลิวไปทั่วสนาม คุณไม่สามารถสบตากับใครได้ คุณได้แต่ยืนนิ่งๆ เราใช้เวลา 40 นาทีกับการยืนนิ่งๆ อย่างนั้น เฟลิกซ์ก็จะเดินไปรอบๆ หยุดและเดินไปรอบๆ และก็ไปยืนดูจากข้างสนาม” ซิดเวลล์เผย

ถึงแม้บอร์ดบริหารจะให้โอกาสแก้มืออีกครั้งในศึกแชมเปี้ยนชิพ แต่ทีมที่ขวัญกำลังใจแตกสลาย ทำให้นักฟุตบอลพร้อมใจกันเตะไล่โค้ช  4 นัดแรกในลีกรอง เจ้าสัวน้อยแพ้รวด และกุนซือชาวเยอรมันก็ชะตาขาดต่อจากนั้นไม่นาน

Photo : espn.com

หลังตกงานที่ลอนดอน เขาก็ว่างงานไปอีก 2 ปี ก่อนที่ย้ายไปเมืองจีน เพื่อคุม ชางดง หลู่เหนิง แต่ผลงานไม่ได้ตามเป้า มากัธโดนไล่ออกอีกครั้ง และว่างงานมาจนถึงทุกวันนี้

กูรูลูกหนังหลายคนมองว่า ความล้มเหลวของมากัธ นอกจากการเทรนนิ่งที่เน้นแต่กำลังมากกว่าแทคติคแล้ว ในยุคปัจจุบันที่นักฟุตบอลมีรายได้มหาศาล และถูกปฏิบัติแบบซูเปอร์สตาร์ การไม่แม้แต่จะบริหารคนหรือซื้อใจลูกทีมเลยของมากัธ กลับบั่นทอนจิตใจผู้เล่นและทำลายความสามัคคีภายในทีม ผลงานก็เลยดิ่งลงเหว

Photo : twitter.com

ถึงอย่างนั้น ด้วยสถานะทางการเงินที่ร่ำรวยอยู่มาก เฟลิกซ์ มากัธผู้ว่างงานในตอนนี้จึงมีเวลาเดินทางไปดูกีฬาต่างๆ มากขึ้น ทั้งฟุตบอล เทนนิส รถฟอร์มูล่าวัน และแน่นอน “หมากรุก” ดังที่เห็นได้จากทวิเตอร์ @Felix_Magath_ รวมถึงไปเป็นคอมเมนเตอร์ฟุตบอล และวิทยากรอบรม รับเชิญอีกด้วย เช่นเดียวกับการไปพบปะเยี่ยมเยือนนักเตะเก่าๆ ที่เขาคุยคุมทีม นั่นทำให้ชีวิตของชายวัย 65 ปีไม่เหงาเมื่อห่างหายจากการคุมทีมข้างสนาม

ไม่มีใครรู้ว่าเฟลิกซ์ มากัธ จะกลับมาคุมทีมอีกเมื่อไหร่ แต่เรามั่นใจว่า ทีมนั้นนักฟุตบอลจะฟิตเต็มถังตลอด 90 นาทีอย่างแน่นอน อย่างที่แยน อาเก้ ฟอร์ทอฟต์ ได้กล่าวติดตลกเอาไว้ว่า

“ผมไม่รู้ว่าเฟลิกซ์ มากัธ จะช่วยให้เรือไททานิคไม่จมได้หรือไม่ แต่ผมมั่นใจว่าผู้รอดชีวิตทุกคนฟิตเต็มร้อยแน่ๆ”

แหล่งอ้างอิง

http://bundesligafanatic.com/20111130/interview-of-the-week-felix-magath/

https://the18.com/soccer-entertainment/felix-magath-training-story-fulham

https://www.independent.co.uk/sport/football/premier-league/felix-magath-mad-or-messiah-fulhams-new-manager-has-a-fierce-reputation-as-a-football-dictator-but-9131158.html

https://www.mirror.co.uk/sport/football/news/fulhams-felix-magath-brushes-question-3167968

https://www.theguardian.com/football/blog/2012/oct/08/bundesliga-felix-magath-wolfsburg

https://www.kingfut.com/2016/01/31/felix-magath-alahly-last-dictator/

https://www.bbc.com/sport/football/26265494

https://www.telegraph.co.uk/sport/football/teams/fulham/10655093/How-Fulham-players-can-survive-Felix-Magath-No-singing-in-the-shower.html

http://bundesligafanatic.com/20101210/the-other-side-of-discipline-%E2%80%93-the-tactical-efficiency-of-felix-magath-%E2%80%93-a-four-part-retrospective/

https://thesefootballtimes.co/2015/01/19/the-felix-magath-before-felix-magath/

https://www.fourfourtwo.com/features/dress-sense-medicine-balls-dictatorship-what-felix-magath-will-bring-fulham

https://www.mirror.co.uk/sport/football/news/fulham-sack-rene-meulensteen-felix-3146905

https://provenquality.com/felix-magath-extreme-training-potential-make-break-fulham/

https://www.nytimes.com/2009/05/25/sports/soccer/25iht-SOCCER.html