สิ่งที่น่าสมเพชที่สุดในระบบการศึกษาไทยคือการที่คนใหญ่คนโตพร่ำบอกว่าเด็กไทยมีปัญหาขาด critical thinking มาตลอด ที่ผ่านมาก็มีความพยายามปรับหลักสูตรและวิธีการสอนของส่วนกลาง เพื่อให้เด็กกล้าคิด กล้าแสดงความคิดเห็น และมี critical thinking มากขึ้น
แต่คนที่เอาไปใช้ในห้องเรียนจริงๆกลับเป็นครูที่โตมาในระบบการศึกษาอำนาจนิยม ที่ถูกครูของครูเหล่านั้นสอนแบบท่องจำเป็นนกแก้วนกขุนทอง และยึดถืออีโก้ปลอมๆของครูเป็นสรณะว่าครูคือผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบาน เป็นศูนย์กลางของจักรวาลแห่งความรู้

มิหนำซ้ำ ครูเหล่านั้นยังต้องทำงานในระบบราชการ 0.4 ที่เชื่องช้า ไม่ทันโลก และมาพร้อมกับทัศนคติจารีตนิยมล้าหลัง และบ้าอำนาจกับความอาวุโสในขั้นสุด
แม่ปูนาขาเก ย่อมไม่สามารถสอนลูกปูให้เดินตรงได้ฉันใด ระบบการศึกษาไทยก็สอนให้เด็กมี critical thinking ไม่ได้ฉันนั้นแหละ

แต่สิ่งที่น่าเศร้ากว่านั้น เมื่อโซเชียล มีเดีย เบ่งบาน และการค้นหาความรู้ง่ายเพียงปลายนิ้วสัมผัส ในช่วง 5 ปีหลัง ความเปลี่ยนแปลงในโลกดิจิทัลนี้ ได้หล่อหลอมให้คนรุ่นใหม่มี critical thinking ขึ้นมาจริงๆ และพวกเขาพร้อมเดินหน้าท้าชนกับปัญหาต่างๆในสังคม
แต่กลับกลายเป็นว่า เด็กเหล่านั้นกลับถูกผู้ใหญ่ไปตราหน้าว่า “ชังชาติ” บ้าง “โดนนักการเมือง กับนักวิชาการล้างสมอง” บ้าง บางคนก็โดนจับไปขังคุกก็มี