อย่าดูถูกคนรุ่นใหม่

---

สิ่งหนึ่งที่เราคิดว่าคนรุ่น Baby Boomer และ Gen X (ซึ่งก็คือคนอายุ 40+) เข้าใจผิดเกี่ยวกับคนรุ่นใหม่มากๆ คือ “การบูชาตัวบุคคล”

หนึ่งในข้อถกเถียงที่ฝั่งคนอายุ 40+ นำมาโจมตีการเคลื่อนไหวของกลุ่มประชาชนปลดแอกและธรรมศาสตร์และการชุมนุมเสมอ คือ เด็กเหล่านี้โดนผู้ใหญ่ล้างสมอง ไม่ก็เด็กกลุ่มนี้เป็นหุ่นเชิดของธนาธร ปิยบุตร พรรณิการ์ ฯลฯ (ซึ่งฝั่งพรรคอนาคตใหม่เดิมก็เป็นหุ่นเชิดของรัฐบาลสหรัฐอีกทีด้วย) หลายคนยกเอาแฮชแท็ก “ฟ้ารักพ่อ” ที่บูมเมื่อปีที่แล้วว่า เป็นตัวอย่างของการโดนล้างสมอง

เรายอมรับว่า ในช่วงแฮชแท็กฟ้ารักพ่อ มันมีการบูชาตัวบุคคลจริงๆ และเยาวชนเหล่านั้นก็เรียนรู้ข้อด้อยของการบูชาตัวบุคคลและก้าวข้ามมัน ไปยึดกับหลักการแทนแล้ว ภายในเวลาหนึ่งปี

ตัวอย่างง่ายๆ เลยคือ ปีที่แล้วชาวทวิตภพทุกคนล้วนพูดว่า “ฟ้ารักพ่อ” แต่การเรียกร้องในม็อบทุกวันนี้ ไม่ใช่การสู้เพื่อเอาธนาธรหรือคณะก้าวหน้ากลับมามีบทบาททางการเมือง แต่ยึดมั่นที่หลักการประชาธิปไตยแทน รวมถึง ตอนหลังเลือกตั้งใหม่ๆ คนมาปรามาสเยาวชนเหล่านั้นว่า “เก่งแต่ติดแฮชแท็ก save คนในทวิตเตอร์ ไม่กล้าลงถนนหรอก” ผ่านไปไม่นาน เยาวชนเหล่านั้นมาพร้อมกับม็อบที่มีการจัดการอย่างมืออาชีพ

นั่นเป็นเพราะ platform ของทวิตเตอร์ที่ทำให้ผู้ใช้ไม่ต้องใช้ชื่อ-นามสกุลจริงในแอคเคานท์ ทำให้การถกเถียงต่างๆมันเปิดกว้างและตัดสินด้วย “วิธีิคิด” ไม่ยึดติดกับตัวบุคคล และการเปิดกว้างทางความคิดแบบนี้ ทำให้เยาวชนเติบโตทางความคิดเร็วภายในหนึ่งปีมากกว่าการเรียนในระบบอย่างมากมายมหาศาล มากกว่าโครงการใดๆที่กระทรวงศึกษาธิการทำได้ซะอีก

แต่เพราะสังคมไทยมีความเป็นอำนาจนิยมในระดับลึก และอำนาจนิยมที่ว่ามันกดความคิดเด็กไว้มาโดยตลอด และข้าราชการในกระทรวงศึกษาไทยก็โง่เขลาและขึ้ขลาดเกินกว่าจะยอมรับความจริงนี้ เลยหาวิธีฉาบฉวยมาแก้ปัญหาโดยไม่ปลดล็อค “อำนาจนิยม” จากครู แล้วก็มาหลอกตัวเองว่าฉันพยายามแล้วไปเรื่อยๆมาเป็นเวลากว่า 40 ปี

เราเข้าใจนะว่าวิธีคิดของคนยุคก่อนทวิตเตอร์ไม่ได้เป็นแบบนั้น พวกเขาจึงตัดสินเด็กรุ่นใหม่ว่าโดนแกนนำล้างสมอง เพราะประสบการณ์ชีวิตของคนเหล่านั้นก็เชื่อในอำนาจของผู้นำโดยไม่ตั้งคำถามจริงๆ และไม่แปลกที่ครูที่ได้ดิบได้ดีในระบบอำนาจนิยมมาโดยตลอด ถึงกับต้องมาใช้อำนาจข่มแบบนี้ ในวันที่นักเรียนของพวกเขาเติบโตทางความคิดไปไกลกว่าโลกทั้งใบของครูแล้ว